- (กล่าวนำ)
- เป้าหมายของเศรษฐศาสตร์
- หากยังมีความขัดแย้งก็ยากที่จะถึงเป้าหมาย
- อะไรคือความอยู่เย็นเป็นสุขของมนุษยชาติ?
- ความสุข ๒ แบบในพระพุทธศาสนา
- โลกแห่งการบริโภค คนมีสุขยาก ทุกข์ง่าย
- มนุษย์มีความแตกต่างกันหลายระดับ
- ศีล ๕ : หลักการพื้นฐานของสังคม – ศีล ๘ : ศีลเพื่อการพัฒนาสู่อิสรภาพ
- บุคคล ๓ กลุ่ม
- ประเทศผู้ผลิตกับประเทศผู้บริโภค
- การศึกษาควรสอนให้มนุษย์ พัฒนาความสามารถในการมีความสุข
- ดุลยภาพของอิสรภาพทั้ง ๔
- ต้องพัฒนา Intellectual Freedom ให้เกิดมีขึ้นในผู้บริโภค
- ผู้บริโภคมีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิต
- ธุรกิจอยู่ไม่ได้ ถ้าผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้า หรือไม่ใช้บริการ
- ความสำเร็จที่แท้จริงของนักธุรกิจ
- ลัทธิบริโภคนิยมมาจากตัณหาของมนุษย์
- Meditation in Form/Meditation in Substance
- ค่านิยมกำหนดสังคม
- การแข่งขันในทางที่ถูก
- การแข่งขันกระตุ้นให้เกิดความไม่ประมาท
- กิจกรรม ๓ ประการ ที่เศรษฐศาสตร์ควรให้ความสนใจ
- Freedom Through Wisdom ความสำเร็จสูงสุดของมนุษย์
- พัฒนาฉันทะ ลดละตัณหา
- ความปรารถนาที่ดีงามคือฉันทะ
- แหล่งข้อมูลคำสอนในพระพุทธศาสนา
- ทำไมเถรวาทมีคำสอนเรื่องการครองเรือน มากกว่าสายอื่น
- เหตุ และ ปัจจัย ในพระพุทธศาสนา
- ปัจจัยหนึ่งอาจนำไปสู่ผลหลายอย่าง
- การแยกแยะปัจจัยหรือยักย้ายเงื่อนไข
- กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์
- ศรัทธาและปัญญาไม่ใช่คู่แข่งขัน
- ปฏิจจสมุปบาทแบบง่าย
- กุศลและอกุศลจากผัสสะ
- กระบวนการปฏิจจสมุปบาทเกิดตลอดเวลา
- พระพุทธเจ้าทรงอธิบายปฏิจจสมุปบาท ตามสติปัญญาของผู้ฟัง
- แนะนำหนังสืออ่านประกอบ
- ภาคผนวก
- บันทึกผู้แปล
- คำนำในการพิมพ์ ครั้งที่ ๓
ลัทธิบริโภคนิยมมาจากตัณหาของมนุษย์
พระพรหมคุณาภรณ์
ลัทธิบริโภคนิยมนั้นมันมาจากธรรมชาติของมนุษย์ อาตมาคิดว่า ขั้นแรกเราต้องยอมรับว่า นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ และนี่คือสิ่งที่เรียกว่า ตัณหา ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่า ตัณหาไม่มีที่สิ้นสุด ไม่สามารถทำให้พอใจได้อย่างแท้จริง แต่จะเพิ่มมากขึ้นทั้งในปริมาณและระดับขั้น นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเราจึงต้องให้การศึกษาแก่คน เพื่อที่ว่าเราจะได้มีบางสิ่งที่มีคุณภาพ เพื่อช่วยให้ตัณหาเกิดความสมดุล
แต่ปัจจุบันปัญหาคือ การศึกษาดูเหมือนว่า จะไม่ได้พัฒนาคุณภาพดังกล่าว เมื่อเราให้การศึกษาอะไรก็ตามแก่คน เขาก็จะเกิดความรู้บางอย่าง ตัวอย่างเช่น เขาสามารถมีความสุขได้ด้วยตนเอง เขาสามารถแยกแยะได้ระหว่าง “การหาความสุข” กับ “การมีความสุข” ว่าต่างกันอย่างไร
ทุกวันนี้เราพูดกันแต่ว่า “การหาความสุข” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนไม่มีความสุขจึงต้องหาความสุข แต่เราก็มีมนุษย์อย่างพระพุทธเจ้าซึ่งตรัสว่า พระองค์มีความสุขแล้ว ไม่ต้องไปหาความสุขที่ไหน คนต้องแยกแยะความสุขทั้งสองอย่างนี้ คือ “การหาความสุข” กับ “การมีความสุข” และคนควรได้รับกระตุ้นหรือทำให้เขารู้ว่า เขาสามารถมีความสุขได้ ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาความสุข และมีความสุขด้วยการทำให้การแสวงหาความสุขนั้นสมดุล
ลัทธิบริโภคนิยม คือ วิธีการของผู้ที่แสวงหาความสุขและวิธีของการมีความสุขด้วยการอาศัยสิ่งภายนอก นี่คือความสุขที่ต้องขึ้นอยู่กับวัตถุธรรมภายนอก และเนื่องจากตัณหาไม่มีที่สิ้นสุด มันจะเพิ่มมากขึ้นๆ และขึ้นอยู่กับค่านิยมของสังคม ลัทธิบริโภคนิยมนั้นไม่เพียงแต่ทำให้คนพอใจ แต่มันสร้างค่านิยมทางสังคมขึ้นมาด้วย หรือธุรกิจในปัจจุบันทำให้เกิดลัทธิบริโภคนิยมและเป็นไปเพื่อสนองลัทธิบริโภคนิยม เพราะว่าลัทธิบริโภคนิยมทำให้เกิดค่านิยมทางสังคม
ตัวอย่างเช่น ผู้บริโภคคนไทยไม่แข่งขันกับนักธุรกิจ แต่แข่งขันกันเอง เขาแข่งขันกันในแง่ว่า เธอมีนี่ ฉันก็มีเหมือนกัน ฉันมีสิ่งใหม่ๆ แต่เธอยังไม่มี เธอไม่ทันสมัย ด้วยเหตุนี้ เราต้องให้การศึกษาแก่พวกเขา เพื่อที่ว่าเขาจะได้เปลี่ยนสถานะ แทนที่จะแข่งขันกันเอง ก็ไปแข่งขันกับผู้ผลิต หรือนักธุรกิจ
นายมิวเซนเบิร์ก
ท่านคิดว่า การศึกษาที่ปราศจากการสอนสมาธิภาวนาจะช่วยได้หรือไม่ ดูเหมือนว่ากิเลสตัณหาของมนุษย์ที่ว่านี้เป็นเรื่องที่ถ่ายถอนได้ยาก
No Comments
Comments are closed.