ฉลาดเชิงกลไก แต่ไม่พัฒนาปัญญา ท่องไปทั่วหล้า แต่ปัญญาอ้างว้าง

22 มกราคม 2536
เป็นตอนที่ 10 จาก 41 ตอนของ

ฉลาดเชิงกลไก แต่ไม่พัฒนาปัญญา
ท่องไปทั่วหล้า แต่ปัญญาอ้างว้าง

ดูลึกลงไปหน่อย พระพุทธศาสนาที่สืบๆ มาถึงเรานั้น ก็อยู่มาในสังคมไทย เป็นพุทธศาสนาของคนไทย ที่ไปๆ มาๆ ก็เป็นมรดกสืบทอดของสังคมไทย บางทีที่เรียกว่าพระพุทธศาสนาแบบไทยๆ ก็เป็นพระพุทธศาสนาที่บางส่วนกลาย หรือหลายส่วนเพี้ยนไปแล้ว

จึงได้กำชับกันมานักหนา ให้ใช้มาตรการที่จะรักษาตัวพระพุทธศาสนาที่เป็นหลักแท้ของจริงไว้ให้ได้

เดชะบุญเราพอจะรักษาของจริงไว้ได้ แต่เดชะบาปอะไร ถึงของจริงจะยังอยู่ยังมี แต่คนไทยบางทีก็ (หรือก็มักจะ) ไม่มีแก่ใจจะไปดูไปหาไปศึกษาของแท้ ไม่เอาไม่เข้าไปให้ถึงให้แน่ ก็เลยอยู่กันแค่ปรัมปรา เป็นสังคมแบบตามเขาทำกันมา ตามเราว่ากันไป

ทีนี้ ในสังคมไทยนั้น ความพรั่นพรึงนิยมนับถือในเรื่องอำนาจดลบันดาลและความศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เป็นกระแสที่แผ่ซ่านไหลแรงตลอดมา เป็นช่องให้ลัทธิเทวฤทธิ์พรหมพราหมณ์ผีสางไสยศาสตร์เข้ามาอาศัยและคงอยู่ได้ทนนาน อีกทั้งเมื่อได้โอกาส ยามสังคมมืดมัวมึนโมห์เปิดช่องให้ ก็เข้ามาสนองหนุนโลภะโทสะของคน แพร่ระบาดแรงเข้ม นับว่าเป็นพลังแอบแฝงซึ่งคอยแย่งที่กำบังตัว แม้กระทั่งซึมแทรกปนเปกับพุทธศาสตร์เรื่อยมา

เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้น ในพระพุทธศาสนาท่านก็ให้เกียรติ และถึงกับให้ความสำคัญในระดับหนึ่ง ดังที่ตรัสว่าพระมหาโมคคัลลานะเป็นเอตทัคคะในบรรดาภิกษุสาวกผู้มีฤทธิ์

(เอตทคฺค ภิกฺขเว…อิทฺธิมนฺตาน ยทิทํ มหาโมคฺคลฺลาโน, องฺ.เอก.๒๐/๑๔๖/๓๑; อิทฺธิม=มีฤทธิ์นี้ มีนัยด้วยว่า เป็นผู้เก่งกล้าสามารถทำการสำเร็จ เป็นนักบุกฝ่า หรือผู้บุกเบิก)

แม้ว่าลำพังตัวอิทธิปาฏิหาริย์เอง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าไม่โปร่งพระทัย ทรงระอา ทรงรังเกียจ (อิทฺธิปาฏิหาริเยน อฏฺฏิยามิ หรายามิ ชิคุจฺฉามิ, ที.สี.๙/๓๓๙/๒๗๕)

อิทธิปาฏิหาริย์นั้น ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่เข้าในจุดหมายของพระพุทธศาสนา แต่ก็เป็นความสามารถพิเศษ ในพวกอภิญญาชั้นโลกีย์ ปุถุชนที่เก่งกาจก็มี แต่ถ้าเป็นคนไม่ดี ก็จะเหิมเกริม เอาไปใช้หาลาภ เสริมยศ เพื่อผลประโยชน์และความยิ่งใหญ่ กลายเป็นเครื่องมือก่อการร้ายของคนเลว ดังที่มีพระเทวทัตเป็นตัวอย่างเด่น

ถ้าผู้มีอิทธิปาฏิหาริย์เป็นคนดี มีใจสะอาดบริสุทธิ์ เฉพาะอย่างยิ่งเป็นพระอรหันต์ อิทธิปาฏิหาริย์ก็เป็นประโยชน์ ที่ท่านใช้เป็นเครื่องมือของปัญญา เพื่อช่วยพัฒนาคนให้เขาพ้นภัยจนถึงได้ปัญญา

ที่ว่าเป็นเครื่องมือของปัญญา เพื่อจุดหมายที่จะให้ได้ปัญญานั้น ก็คือ ในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในพุทธกิจ อิทธิปาฏิหาริย์มีคุณค่าต่อเมื่อไปประสานบรรจบกับอนุศาสนีปาฏิหาริย์ คือ ใช้อิทธิฤทธิ์เป็นเครื่องหักหันนำคนเข้ามาหาคำสอนธรรมที่เป็นอนุศาสนี แล้วอิทธิฤทธิ์ก็จบลงที่อนุศาสนี โดยให้เกิดมีปัญญาเป็นจุดหมาย

ถ้าเข้าทางและพาให้ถึงจุดจนจบลงอย่างนี้ อิทธิปาฏิหาริย์ก็ลงทะเบียนมีชื่อในพระพุทธศาสนาได้ (แต่ถ้าเพื่อลาภ ยศ ความยิ่งใหญ่ ก็เข้าทางไปหาพระเทวทัต)

ที่พูดมาเสียยาว ก็เพื่อให้จับตัวได้ว่า พระพุทธศาสนาคืออะไร อยู่ตรงไหน หรืออยู่แถบข้างไหน เรื่องฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ มีความหมาย มีส่วนมีแง่ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาแค่ไหน อย่างไร

อนึ่ง อิทธิปาฏิหาริย์ แปลง่ายๆ ว่า ความสำเร็จที่ขจัดความติดขัดเสียได้ จะไปในอากาศ ที่ตามปกติติดขัด ก็เหาะไปได้ จะไปบนน้ำ ที่ตามปกติติดขัด ก็เดินบนน้ำไปได้ ฯลฯ

เมื่อมองเข้ากับยุคสมัย เทคโนโลยีก็เป็นอิทธิฤทธิ์ทางวัตถุ อะไรที่ตามปกติติดขัด ทำไม่ได้ เทคโนโลยีก็ทำให้สำเร็จได้ จะไปในอากาศ ไปบนน้ำ ไปใต้น้ำ ไปต่างดาว ฯลฯ ได้ (แทบ) ทั้งนั้น

เทคโนโลยี นอกจากให้สำเร็จกิจจำเพาะในเรื่องนั้นๆ แล้ว ที่สำคัญคือโยงกับปัญญาที่รู้ทั่วชัดในแดนวัตถุ ที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ เทคโนโลยีไม่เพียงอาศัยวิทยาศาสตร์เป็นฐาน แต่เป็นเครื่องนำพาในการพัฒนาปัญญาแห่งวิทยาศาสตร์นั้น

ยิ่งมาถึงเวลานี้ คนเข้าสู่ยุคไอที มีไฮเทค กำลังบุกฝ่าแผ่ขยาย digital frontier ในยุคนี้ เทคโนโลยีเข้ามาจัดมาสื่อข่าวสารข้อมูล ซึ่งเป็นเรื่องของปัญญา โดยปัญญา เพื่อปัญญาตรงตัวเต็มที่ และปัญญานั้นกว้างใหญ่ไกลกว่าเพียงวิทยาศาสตร์อีกด้วย

อย่างไรก็ดี ในยุคไอทีที่ประชิดปัญญานี้เอง กลายเป็นว่า คนใช้เทคโนโลยีนั้นอย่างแปลกแยกห่างเหินจากปัญญา ยิ่งกว่าในยุคอื่นแต่ก่อนมา ซ้ำร้ายยังใช้ในทางที่บังหรือทอนปัญญาเสียมากด้วย

สภาพทั่วไปในสังคมก็คือ คนตื่นติดความศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ของไอทีในเชิงสนองตัณหา ทั้งโลภะและโทสะออกศักดาเต็มที่ เห็นแก่ความสนุกวูบวาบฉาบฉวย ไล่เสพบันเทิงก็ไม่ทัน เลยไม่มีเวลาจะศึกษา ได้ข้อมูลข่าวสารถึงทันทั่วโลกา แต่ไม่ถึงความรู้ ไม่เป็นปัญญา

ไอทีมา คนมัวเพลินภูมิกับความเฉียบฉลาดเชิงกลไก ละทิ้งปัญญา ถูกโมหะล่อพาไป เมื่อเพลินกับอิทธิฤทธิ์ของเทคโนโลยี ก็เป็นเหยื่อของอิทธิฤทธิ์แห่งไสยศาสตร์ได้ง่ายด้วย

เป็นอันว่า อย่ามองแค่พระเณร ต้องมองให้กว้างที่จะกู้ทั้งสังคม ไม่ใช่แก้แต่ปัญหาพระเณร ต้องแก้ปัญหาคนไทย ให้ไอทีมากับปัญญา ให้อิทธิฤทธิ์ของไอทีเป็นสื่อนำเข้าหาปัญญา เป็นเครื่องมือพัฒนาปัญญา ไปให้ถึงปัญญา สังคมไทยจึงจะศรีวิไลเป็นอารยะขึ้นมา

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< คนสร้างสังคม สังคมสร้างคน ถ้าไม่ตัดวงจร ไม่แปรปัจจัย คนสร้างสังคมไว้อย่างไร ก็ได้คนอย่างนั้นมาสร้างสังคมต่อไปต้องพัฒนาตัวกันทุกคน ไม่มีใครหนีพ้นความรับผิดชอบ >>

No Comments

Comments are closed.