ไม่ใช่สอนเอาใจเขา แต่สอนนำเขาเข้าหาหลัก

22 มกราคม 2536
เป็นตอนที่ 16 จาก 41 ตอนของ

ไม่ใช่สอนเอาใจเขา แต่สอนนำเขาเข้าหาหลัก

ปัจจุบันนี้ น่าเป็นห่วงว่า การสอนตัวหลักกรรมเองมีน้อย แม้จะสอน ก็มักสอนออกไปในเรื่องลึกลับไกลตัว ไม่สอนให้ถึงหลัก

บางทีก็ไปสอนในแง่ที่ชักเขวออกไปหาการเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนกระทั่งการสอนที่สนองและเสริมย้ำความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กับการสอนที่ชวนให้หวังผลเลื่อนลอยมากกว่าผลจากการกระทำเป็นไปอย่างแพร่หลาย

ยิ่งกว่านั้น ยังชักนำให้ถอยห่างออกไปจากพระพุทธศาสนาด้วย แทนที่จะดึงจากเทวดาและพระพรหมข้างนอกให้เข้ามาสู่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

อย่างโบราณที่ท่านดึงมาสู่พระเครื่อง ก็ยังดีกว่าสมัยนี้ที่ดึงออกจากพระเครื่องไปหาพระพรหม เพราะถ้ายังอยู่ที่พระเครื่อง ก็ยังอยู่ในจุดที่จะเดินขึ้นมาได้ แต่ถ้าไปหาเทพเจ้าข้างนอกแล้ว ก็มีแต่เดินลง แล้วก็จะออกไปเลย

เมื่อยังเชื่อพระ ก็ยังโยงเข้ามาหาหลักกรรมและการพัฒนาตนได้ แต่ถ้าไปหาเทพเจ้าข้างนอกแล้ว ก็ขาดลอยออกไปสู่การหวังผลจากการดลบันดาลและการสนองกิเลส เตลิดไปเลย

ปัจจุบันนี้ แทนที่จะดึงจากสิ่งเคารพบูชาข้างนอกเข้ามาหาพระรัตนตรัย กลับไปส่งเสริมพระพรหมและเทวดาข้างนอก

เดี๋ยวนี้นับถือพระพรหมกันมาก เมื่อครั้งอาตมาไปสิงคโปร์ ปรากฏว่า พระพรหมเข้าไปอยู่ในวัด ศาลพระพรหมได้รับการเคารพนับถือยิ่งกว่าพระพุทธรูปอีก ชาวสิงคโปร์เขาเรียกรูปพระพรหมว่า four-faced Buddha เขาไม่รู้เรื่องรู้ราว นึกว่าเป็นพระพุทธเจ้าสี่หน้า แต่ต่อไป พอรู้ ก็ออกไปแล้ว ต่อไปนี้ ถ้าทำไม่ดี ไม่รีบแก้ไข พระจะกลายเป็นคนเฝ้าศาลพระพรหมไป นี่ก็คือการดึงห่างออกไป แทนที่จะดึงเข้ามาสู่พระรัตนตรัย

คนไทยทั้งหลาย โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน น่าจะรู้บทเรียนของอินเดียว่าเป็นอย่างไร อินเดียแดนเทวดา ที่เทพเจ้าเต็มฟ้า แต่ปวงประชาหน้าแห้ง

พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ ล้วนแต่ยิ่งใหญ่ คนอินเดียเขาเซ่นสรวงบูชากันนักหนา จนถึงขั้นมีพิธีบูชายัญวิจิตรพิสดาร ถ้าจะพูดให้ได้คิด ก็คงต้องแกล้งว่า เซ่นสรวงสังเวยกันไปกันมา จนเครื่องเซ่นจะหมด อินเดียก็เลยได้แห้งแล้งทั่วกัน

ถ้าขืนอยู่กับความลุ่มหลงกันอย่างนี้ ไม่ทำการตามเหตุตามผล พระพรหมท่านก็คงทำกับประเทศไทย เหมือนกับที่ท่านทำมาแล้วกับประเทศอินเดีย เรื่องนี้เคยพูดไว้ที่อื่นแล้ว (“คนไทย หลงทางหรือไร”) ไม่ต้องพูดให้มาก

ในวิถีของการพัฒนาตน ที่ดึงคนขึ้นมาจากการเชื่ออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในสมัยโบราณนั้น ท่านทำให้คนที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เชื่อถือฤทธิ์อำนาจเปลี่ยนมาเห็นว่า พระรัตนตรัยนี่แหละ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจยิ่งกว่าสิ่งที่เขาเคยเชื่อถือภายนอก ยิ่งกว่าเทพเจ้าที่เขานับถือ หลักการเดิมเป็นอย่างนั้น

ท่านดึงจากพระพรหม ดึงจากพระนารายณ์ ดึงจากพระอิศวรเข้ามา พอเขาเข้ามาสู่พระรัตนตรัยแล้ว เขาก็จะมีหลักกรรม เขาจะไม่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแบบที่จะยกชะตากรรมไปให้

สิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกพระพุทธศาสนานั้น เป็นประเภทนักดลบันดาล มีฤทธิ์ที่จะนิรมิตให้ หรือสาปแช่ง เมื่อไปเชื่อแล้ว ก็รอคอยการดลบันดาล ได้แต่อ้อนวอนให้ท่านดลบันดาลให้

แต่พอเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาแล้ว ความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของพระรัตนตรัย จะเป็นเครื่องส่งเสริมการกระทำ เพราะเข้ามาสู่หลักกรรม

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< สอนเอาหลักเพื่อประโยชน์แก่เขา ไม่ใช่สอนเอาแต่ใจของตัวถ้ายังเอาความศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องคิดให้ทางเลือกที่ถูกหลัก >>

No Comments

Comments are closed.