สากลเป็นสภาพธรรมดาอยู่แล้ว เมื่อว่าไปตามธรรมดา สันติภาพสากลก็ตามมาเอง

3 เมษายน 2538
เป็นตอนที่ 10 จาก 34 ตอนของ

สากลเป็นสภาพธรรมดาอยู่แล้ว
เมื่อว่าไปตามธรรมดา สันติภาพสากลก็ตามมาเอง

พระพุทธศาสนานั้น มีหลักการที่ชัดเจน คือสอนความจริงตามธรรมดาของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าพระองค์เป็นผู้ผูกขาดหรือตั้งความจริงขึ้นมา แต่พระองค์ตรัสว่า “อุปฺปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ อนุปฺปาทา วา ตถาคตานํ” ตถาคตทั้งหลายจะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม ความจริงก็มีอยู่เป็นหลักธรรมดา เป็นธรรมนิยามว่า สังขารทั้งปวงเป็นอนิจจัง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา บางแห่งก็ตรัสหลักความจริงของธรรมชาตินี้ตามแนวปฏิจจสมุปบาท ทั้งหมดนั้นก็มีสาระสำคัญว่า หลักความจริงในธรรมชาติมีอยู่ตามธรรมดา พระองค์มาค้นพบความจริงนั้นแล้ว ก็ทรงนำมาแสดง ชี้แจง เปิดเผย อธิบาย ทำให้เข้าใจได้ง่าย เรียกว่าพระองค์ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร เป็นผู้ค้นพบทางและเป็นผู้ชี้ทางให้ เมื่อแต่ละคนรู้เห็นทางที่พระองค์ชี้นั้นแล้วปฏิบัติดำเนินตามไปก็ได้เห็นธรรมนั้น เมื่อเราได้เข้าถึงธรรมด้วยตนเองแล้ว ก็เหมือนกับว่าพระองค์หมดหน้าที่

จุดสำคัญที่พึงสังเกตก็คือ พระพุทธศาสนาสอนหลักการของความจริงตามธรรมชาติว่า สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน การกระทำดีเป็นเหตุให้เกิดผลดี การกระทำชั่วเป็นเหตุให้เกิดผลชั่ว การกระทำดีเป็นเหตุให้ไปสวรรค์ การกระทำชั่วเป็นเหตุให้ไปนรก การกระทำดี เป็นเหตุในตัวของมันเอง ทำให้ผู้กระทำได้ไปสวรรค์โดยไม่ต้องมีคนมาส่งไปสวรรค์อีก การทำชั่วก็เป็นเหตุให้ไปนรก โดยไม่ต้องมีใครมาลงโทษซ้ำอีก เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่มีหน้าที่มาคอยส่งใครขึ้นสวรรค์ ไม่มีหน้าที่มาตัดสินโทษส่งใครไปนรกอีก

ในศาสนาต่างๆ ที่มีพระเจ้า การทำดีทำชั่วจะไม่จบในตัวเองตามเหตุปัจจัยในกฎธรรมชาติ การทำดีทำชั่วยังไม่เป็นเหตุให้ไปสวรรค์ หรือนรก แต่ต้องมีผู้มาตัดสิน มาเป็นผู้ให้รางวัลและลงโทษอีกทีหนึ่ง คือเอาลัทธิของมนุษย์ไปใช้กับธรรมชาติ ลัทธิของมนุษย์เป็นบัญญัติ เป็นสมมติ เหมือนอย่างเรามีผู้พิพากษาเข้ามาตัดสินลงโทษอีกทีแล้วส่งคนที่ถูกตัดสินไปเข้าคุก ลัทธิศาสนาต่างๆ จึงมีผู้พิพากษา แล้วคนก็เอาผู้พิพากษามาอ้างเพื่อทะเลาะกัน

พระพุทธศาสนาถือหลักของเหตุผล ที่เป็นเรื่องของความเป็นไปตามเหตุปัจจัย ตามธรรมดาของธรรมชาติ จึงไม่มีเรื่องการให้รางวัลและลงโทษ ต่างจากศาสนาทั้งหลายที่มีพระเจ้า มีการให้รางวัลและการลงโทษ โดยมีผู้ตัดสินเหนือขึ้นไปต่างหากจากตัวการทำความดี และความชั่ว พอทำความดีความชั่วแล้ว ก็ยังไม่เป็นอันว่าจะไปนรกหรือสวรรค์ ต้องมีการโปรดปรานของพระเจ้าอีกชั้นหนึ่ง พระเจ้าต้องมาตัดสินว่าจะให้คนนี้ไปสวรรค์หรือนรก ถ้าเกิดทำดีแต่พระเจ้าไม่โปรดปรานก็ไปสวรรค์ไม่ได้ หรือตรงข้ามถ้าทำความชั่วแล้วพระเจ้าเกิดโปรดปรานจะว่าอย่างไร กลายเป็นว่ามีเรื่องการโปรดปรานซ้อนขึ้นมา มันไม่ได้อยู่แค่เหตุปัจจัยโดยตัวของมันเอง แต่ต้องมีผู้ที่มาตัดสินอีกทีหนึ่ง นี่คือความต่างกันในขั้นพื้นฐานระหว่างพระพุทธศาสนากับศาสนาเทวนิยมทั้งหลาย

พระพุทธศาสนาสอนว่า การทำดีเป็นเหตุของผลดี ความดีเป็นเหตุให้ได้ไปสวรรค์โดยตัวของมันเอง การทำชั่วเป็นเหตุให้ไปนรกโดยตัวของมันเอง ความจริงนี้จึงเป็นสากล เป็นของกลาง ไม่จำกัดว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนพวกไหน เมื่อทำดีก็ไปสวรรค์ เมื่อทำชั่วก็ไปนรก ไม่ต้องมีใครมาตัดสินเรา เมื่อไม่ต้องบอกว่าพระเจ้าองค์ไหนมาตัดสิน การแบ่งแยกก็ไม่เกิดขึ้น

ถ้าไม่สอนเป็นกลางๆ ตามเหตุตามผลตรงไปตรงมาตามธรรมชาติ แม้จะบอกว่าสอนความจริง ก็ไม่เป็นความจริงที่สากล คำสอนที่ว่าทำดีไปสวรรค์ ทำชั่วไปนรก กลายเป็นความจริงสำหรับคนกลุ่มนี้พวกนี้ คนกลุ่มนี้นับถือศาสนานี้ทำดีจึงไปสวรรค์ได้ แต่ไม่เป็นความจริงสำหรับคนพวกโน้น เพราะคนพวกโน้นนับถือศาสนาโน้น ถึงทำดีก็ไปสวรรค์ไม่ได้ (อาจจะต้องไปนรกด้วยซ้ำ)

ทีนี้เมื่อสอนถึงเรื่องความเป็นมนุษย์ พระพุทธศาสนาก็สอนตามความจริงของธรรมชาติอีก เราจึงพูดถึงมนุษย์ว่าเป็นมนุษย์เป็นกลางๆ ทุกคน เป็นชีวิตหนึ่งที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อมนุษย์ทุกคนเป็นมนุษย์ การฆ่ามนุษย์ก็ไม่ดีทั้งนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักความจริงตามธรรมชาติว่า ทุกคนรักสุขเกลียดทุกข์ ทุกคนหวั่นเกรงต่อความตาย เพราะฉะนั้น ไม่ควรฆ่ากัน ไม่ควรเบียดเบียนกัน

ว่าโดยสรุป พระพุทธศาสนาแสดงหลักการไปตามความจริงที่เป็นธรรมดาของธรรมชาติ จึงมีความเป็นสากลอยู่ในตัวเอง คือเป็นกลางๆ ตามธรรมดาของธรรมชาติ ไม่ขึ้นต่อใครๆ ที่ไหนพวกใด และจึงไม่ทำให้เกิดการแบ่งแยก แต่กลับทำให้มนุษย์รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ โดยเหตุผลสำคัญ คือ

๑. แสดงหลักเหตุผลที่เป็นกลางๆ ตามความจริงของกฎธรรมชาติว่า ผลดีหรือผลร้าย เกิดจากเหตุปัจจัยคือการกระทำที่ดีหรือชั่วนั่นเองโดยตรง การทำดีเป็นเหตุให้ไปสวรรค์ การทำชั่วเป็นเหตุให้ไปนรก โดยไม่ต้องมีเทพเจ้ามาตัดสินลงโทษหรือให้รางวัลซ้อนเข้าไปอีก ใครจะนับถือศาสนาไหนหรือนับถือเทพเจ้าองค์ใด ก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติเดียวกันนั้น ไม่ทำให้แบ่งแยกหรือทะเลาะกันว่า นับถือเทพเจ้าองค์นี้เป็นพวกนี้ จึงจะไปสวรรค์ได้ ถ้าไม่มานับถือเทพเจ้าองค์นี้จะต้องไปนรก

๒. มองมนุษย์เป็นมนุษย์เหมือนกันหมด การทำร้าย ฆ่าฟันเบียดเบียนมนุษย์ ไม่ว่าคนใด ก็ไม่ดี เป็นบาปทั้งนั้น มนุษย์จึงควรช่วยเหลือเกื้อกูลกันทั่วทั้งหมด ดังที่เรียกว่าสอนเมตตาที่เป็นสากล ไม่แบ่งแยกว่าถ้าเป็นคนของเทพเจ้าองค์นี้ นับถือศาสนานี้จึงควรช่วย ถ้าเป็นคนของเทพเจ้าอื่นหรือนับถือศาสนาอื่น เป็นคนบาป เป็นคนของซาตาน ต้องถูกกำจัด ฆ่าแล้วได้บุญ

ไม่ต้องคิดอะไรมาก มองดูง่ายๆ ก็เห็นได้ชัดเจนว่า ถ้าตราบใดคนยังเถียงกันอยู่ว่า เทพเจ้าของใครจะให้ไปสวรรค์ได้ หรือถือว่ามนุษย์พวกไหนเป็นคนของเทพ พวกไหนเป็นคนของซาตาน การรบราฆ่าฟันและสงครามก็ไม่มีทางหมดไปได้ และสันติสุขของโลกก็ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้ตราบนั้น การถือหลักความจริงตามธรรมดาธรรมชาติอย่างพระพุทธศาสนา เป็นทางเดียวที่จะทำให้โลกนี้มีสันติ แต่ถ้ามองในแง่แบ่งเขาแบ่งเรา ได้เปรียบเสียเปรียบ ชาวพุทธก็แย่หน่อย เพราะชาวพุทธฆ่าใครก็บาปทั้งนั้น แต่เขาฆ่าชาวพุทธเขาบอกว่าได้บุญ

ขอสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าศาสนาทั้งหลายจะช่วยให้โลกมีสันติสุขได้ โดยศาสนาไม่เป็นตัวเหตุเสียเองที่จะทำให้คนแบ่งแยกรบราฆ่าฟันทำสงครามกัน ศาสนาทุกศาสนาจะต้องถือหลักหรือยอมรับความเป็นสากล ๓ ประการต่อไปนี้ คือ

๑. ความจริงที่เป็นสากล เช่นเมื่อสอนว่า การทำดีเป็นเหตุให้ไปสวรรค์ การทำชั่วเป็นเหตุให้ไปนรก ก็ต้องเป็นจริงสำหรับมนุษย์ทุกคนทุกหนแห่ง ไม่ว่านับถือลัทธิศาสนาใด ไม่ใช่จริงสำหรับผู้นับถือศาสนานี้ แต่ไม่จริงสำหรับผู้นับถือศาสนาอื่น

๒. ความเป็นมนุษย์ที่สากล คือ ถือว่ามนุษย์ทุกคนทุกหนทุกแห่งไม่ว่านับถือศาสนาไหน ก็เป็นมนุษย์เสมอกัน การฆ่ามนุษย์เป็นบาป ไม่ดีทั้งนั้น ไม่ใช่สอนว่า มนุษย์ที่นับถืออย่างนี้เป็นมนุษย์ของฉัน ห้ามฆ่า แต่มนุษย์ที่ไม่นับถืออย่างฉัน ฆ่าได้ไม่บาป

๓. เมตตาที่เป็นสากล คือจะต้องสอนให้รักใคร่มีไมตรีต่อมนุษย์ทุกคนโดยไม่จำกัดว่าเป็นกลุ่มไหนพวกใด นับถือศาสนาใด ไม่ใช่ให้เมตตารักคนพวกนี้ กลุ่มนี้ นับถือศาสนานี้ แต่ให้เกลียดชังคนพวกอื่น นับถืออย่างอื่น

ถ้าศาสนาทุกศาสนายอมรับหลักสากล ๓ ประการนี้ไม่ได้ โลกไม่มีทางสงบจากความขัดแย้งและสงคราม

ปัจจุบันนี้ แม้แต่จะพูดกันตรงไปตรงมาอย่างเปิดเผยในเรื่องเหล่านี้ ก็พูดกันไม่ได้ ต้องหลบเลี่ยงอ้อมแอ้มๆ กันไปว่า ทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีเหมือนกัน เมื่อไม่ซื่อตรงต่อความเป็นจริงกันอย่างนี้ มัวแต่หลบปัญหากันอยู่ จะแก้ปัญหาได้อย่างไร

พระพุทธศาสนาสอนหลักสากล ๓ ประการนี้ เป็นหลักพื้นฐานสามัญเป็นปกติธรรมดาตลอดมาอยู่แล้ว

รวมความก็คือ พระพุทธศาสนามีคำตอบให้หมดสำหรับโลกปัจจุบันที่ติดตัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือปัญหาการแบ่งแยกในหมู่มนุษย์

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< เมื่อโลกต้องการความเป็นสากล ทำไมศาสนาสนองความต้องการนั้นไม่ได้– ๓ – สภาพโทรมของสังคมอเมริกัน >>

No Comments

Comments are closed.