การสารภาพกรรมทุจริต ของ พ.อ. บรรจง ไชยลังกา กับพวก

1 มกราคม 2545
เป็นตอนที่ 3 จาก 26 ตอนของ

การสารภาพกรรมทุจริต ของ พ.อ. บรรจง ไชยลังกา กับพวก

เอกสาร ของนายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจงไชย ลังกา เล่มนี้ ก็เหมือนกับหนังสือเล่มก่อนๆ ทุกเล่มซึ่งใช้ชื่อผู้เขียนว่า ดร. เบญจ์ บาระกุล ที่พวกเขาได้เที่ยวเผยแพร่มาแล้วคือเป็นหนังสือลวงที่ทำขึ้นเพื่อใส่ร้ายด้วยวิธีปั้นแต่งเรื่องเท็จ

แต่มีแง่แตกต่างอยู่บ้าง คือ หนังสือเล่มก่อนๆ ใช้ชื่อ ดร. เบญจ์ บาระกุล และต่อมาเริ่มใช้ชื่ออื่นๆ ต่างออกไป เช่น “เม็ดทราย” ซึ่งทำเป็น ซีดี-รอม ก็มี รวมทั้งที่ทำให้ดูเป็นเอกสารของกรมกองทหาร เช่น ใช้ชื่อกรมกิจการพลเรือนทหารบก ซึ่งอาจจะเป็นการอ้างชื่อหน่วยราชการทหาร หรือเป็นการปล่อยให้คนทุจริตเข้าไปอาศัยหน่วยราชการทหารทำการบ่อนทำลายประเทศชาติและพระพุทธศาสนา

หนังสือและสื่อเหล่านี้ใช้วิธีการอย่างเดียวกัน คือ เอาเรื่องราว เหตุการณ์ และกิจการที่เป็นจริงบางอย่าง มาตั้งเป็นโครงสำหรับจูงใจให้น่าเชื่อ แล้วจับโน่นชนนี้ปั้นแต่งเรื่องเท็จสอดแทรกใส่เข้าไป เพื่อป้ายสีทำลายบุคคลที่ตนมุ่งร้าย ทำที่ข้างนอกเหมือนว่า หวังดีต่อพระพุทธศาสนา แต่ในใจที่แท้มีจุดหมายซ่อนเร้นที่ทำลายพระพุทธศาสนา

ส่วนหนังสือเล่มใหม่ของพวกเขา คือ “เอกสารประกอบการพิจารณา สำหรับคณะสงฆ์ เพื่อลงสังฆมติ” นี้ ไม่มีชื่อผู้แต่ง แต่ท้ายเล่มบอกให้กรอกแบบฟอร์มส่งไปที่มหาเถรสมาคม และพิมพ์ชื่อมหาเถรสมาคม พร้อมทั้งตำหนักเพชรที่ตั้งของมหาเถรสมาคมนั้นไว้ท้ายเล่ม เท่ากับหลอกผู้ไม่ทันพิจารณาให้หลงเข้าใจผิดว่าเป็นเอกสารของมหาเถรสมาคม นับว่าเป็นการหลอกลวงอย่างอุกอาจและไร้ความละอายเป็นที่สุด

อีกอย่างหนึ่ง ในการเขียนหนังสือเล่มอื่น คน/นายทหารทุจริตพวกนี้ได้ใช้ศิลปะในการจับโน่นชนนี่มาปั้นแต่งเรื่องเท็จขึ้น ทำให้คนที่ไม่ตรวจสอบและรู้ไม่ทัน อ่านแล้วอาจจะเคลิบเคลิ้มคล้อยตามพลอยหลงเชื่อ

แต่ในการเขียนเอกสารเล่มนี้ คน/นายทหารทุจริตพวกนี้ใช้ศิลปะน้อย เหมือนอย่างที่ชาวบ้านเรียกว่าโกหกไปน้ำขุ่นๆ

ตามปกติ คน/นายทหารทุจริตพวกนี้ปั้นแต่งเรื่องเท็จได้เก่งจนน่าเชื่อ แต่ทำไมคราวนี้ถึงได้พูดเท็จเอาดื้อๆ เหมือนไม่มีศิลปะ

ตอบว่า เพราะเขาอับจน หมดทางไป เนื่องจากหนังสือ “ขอคำตอบจาก ผบ. ทหารสูงสุด กรณีนายทหารทุจริตแห่งชมรม(เถื่อน)ชาวพุทธสามเหล่าทัพ” ปอกเปลือกคน/นายทหารทุจริตพวกนี้ จนพระและชาวบ้านมองเห็นวิธีหลอกลวงและความเท็จทุจริตของพวกเขาจะแจ้งชัดเจนหมดแล้ว

เมื่อหลอกลวงเองก็ไม่สำเร็จ เอากองทัพไทยมาอ้างก็ถูกกองบัญชาการทหารสูงสุดปฏิเสธ เลยต้องหันมาแอบอ้างเอาชื่อมหาเถรสมาคมเป็นเครื่องมือทำบาป

การทำเอกสารแอบอ้างเอาชื่อมหาเถรสมาคมมาใช้ทำงานหลอกลวงครั้งนี้นี่แหละ ที่เป็นการสารภาพกรรมทุจริต ของนายทหารทุจริตกลุ่ม พ.อ. บรรจง ไชยลังกา

ที่ว่าเป็นการสารภาพ ไม่ใช่หมายความว่านายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง ไชยลังกา นี้ตั้งใจสารภาพออกมา

คนที่มีใจสุจริตแต่ทำผิดพลาดเพราะเข้าใจผิดหรือหลงไป เมื่อรู้ตัว ก็จะสารภาพความผิด แต่คนพวก ดร. เบญจ์-พ.อ. บรรจง นี้ทำความเท็จทุจริตทั้งที่รู้ ตั้งใจทำเพื่อประทุษร้ายท่านผู้มิได้คิดร้าย โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อพระพุทธศาสนาและประโยชน์สุขของส่วนรวม และเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์กโลบาย เขาจึงย่อมจะไม่ยอมสารภาพเอง แต่การทำเอกสารแอบอ้างเล่มนี้นั่นแหละที่เป็นการสารภาพ คือ

๑. เมื่อเรื่องเท็จที่เขาปั้นแต่งขึ้นในหนังสือเล่มก่อนๆ ถูกชี้ออกมาให้เห็นจะแจ้งชัดเจนจนพระสงฆ์และคนทั่วไปรู้ทันแล้วว่าเขาหลอกลวงอย่างไร พวกเขาก็อับจนหมดทางไป ไม่รู้จะแต่งความเท็จอย่างไรอีกได้ จึงต้องพูดเท็จแบบชัดๆ ออกมาดื้อๆ จังๆ ในเอกสารที่แต่งแอบอ้างเล่มนี้ ซึ่งยิ่งชี้ให้เห็นความเท็จได้ง่ายในทันที และกลายเป็นการประกาศยืนยันว่าหนังสือเล่มก่อนๆ ของพวกเขา เป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น

๒. การทำเล่ห์กลแอบอ้างชื่อมหาเถรสมาคม เป็นการหลอกลวงครั้งใหญ่ เขาคงคิดว่าเอาชื่อมหาเถรสมาคมมาอ้างแล้ว ทั้งพระสงฆ์และชาวบ้านจะต้องเห็นว่าเป็นหลักเป็นฐานจริงจัง จะต้องเชื่อแน่ๆ

แต่เมื่อมหาเถรสมาคมไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย และเรื่องอ้างทางการอย่างนี้ เมื่อเป็นความเท็จก็เห็นทันที ไม่ต้องรอพิสูจน์ เอกสารของพวกเขาก็เลยกลายเป็นหลักฐานที่สารภาพออกมาชัดๆ ว่า การกระทำของพวกเขาเป็นการเท็จทุจริตหลอกลวงทั้งนั้น

แต่คราวนี้นอกจากตัวเองทำเท็จแล้ว ยังทำให้พระสงฆ์หลายรูปที่หลงตามเขา พลอยกลายเป็นผู้ทำผิดพลาดเสียหายไปด้วย

การสารภาพกรรมทุจริต ของนายทหารทุจริตกลุ่ม พ.อ. บรรจง ไชยลังกา ยังมีมากกว่านี้แต่มีเรื่องบางอย่างที่ควรทำความเข้าใจกันก่อนเดี๋ยวจึงค่อยย้อนกลับมาพูดกันอีก

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< (ภาพปกเอกสารเถื่อนที่นายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง ไชยลังกา จัดทำขึ้น)ถึงเวลาชาวพุทธต้องเตือนกันให้รู้เท่าทันคนบาปร้าย จึงจะรักษาพระพุทธศาสนาให้ยืนยงคงอยู่ได้ >>

No Comments

Comments are closed.