- อนุสติกถา การสารภาพกรรมทุจริต ของ ชมรม(เถื่อน)ชาวพุทธสามเหล่าทัพ
- (ภาพปกเอกสารเถื่อนที่นายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง ไชยลังกา จัดทำขึ้น)
- การสารภาพกรรมทุจริต ของ พ.อ. บรรจง ไชยลังกา กับพวก
- ถึงเวลาชาวพุทธต้องเตือนกันให้รู้เท่าทันคนบาปร้าย จึงจะรักษาพระพุทธศาสนาให้ยืนยงคงอยู่ได้
- ชาวพุทธควรใส่ใจเรียนรู้พระพุทธศาสนากันไว้ มิฉะนั้นคนทุจริตจะทำร้ายพระพุทธศาสนากันไปเรื่อยๆ
- ใจมีเมตตา แต่ต้องปฏิบัติจัดการด้วยปัญญา
- พระไม่ฟ้องร้อง ไม่เป็นคดีความกับใครๆ ที่จะแก้ไขจัดการ ก็เพื่อเห็นแก่พระศาสนาและประชาชาวบ้าน
- กลุ่มพวก พ.อ. บรรจง เป็นนายทหาร “ทุจริต” อย่างไร
- ชมรมชาวพุทธสามเหล่าทัพ “เถื่อน” อย่างไร
- พ.อ. บรรจงทำเป็นท้าพิสูจน์ แต่ที่แท้กลัวถูกพิสูจน์ เลยต้องหันไปต้มตุ๋นพระ พาผู้อื่นให้เดือดร้อน
- ขอทราบความจริงจากกองทัพไทย บอกความจริงให้แก่ประชาชน
- ตัวอย่างการทุจริต ที่ผู้ก่อกรรมต้องสารภาพออกมาเอง
- ยิ่งพูดเท็จไปๆ ก็ยิ่งกลายเป็นสารภาพกรรมทุจริตชัดยิ่งขึ้น
- รบนอกแบบ คือใช้วิธีทุจริตทำร้ายท่าน และทำลายเกียรติของตัว
- หนังสือกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง มีศิลปะในการแต่งเรื่องเท็จ ด้อยกว่าหนังสือใช้ชื่อ ดร. เบญจ์ บาระกุล ที่เขาเผยแพร่
- การใส่ร้ายหนังสือพุทธธรรม คือจุดอับจนของ พ.อ. บรรจง
- พ.อ. บรรจง ยิ่งแต่งเรื่องเท็จ ชาวไทยยิ่งต้องได้ความรู้
- พ.อ. บรรจง ถึงจะหมดทางไป ก็ไม่ควรเอาสถาบันทหารไทยมาเหยียบย่ำ
- ที่ใครว่าพระเจ้าเป็นอนัตตา คริสต์ไม่เอาด้วยหรอก คริสต์ตัวจริง คือที่ว่านิพพานเป็นอัตตา
- จับโน่นชนนี่โยงมาโยงไป จะทำลายธรรมที่เป็นหลักแกนใน เลยกลายเป็นประจานตัวว่าเป็นคนนอกศาสนา
- ถ้าพระถือธรรมะเป็นใหญ่ เคารพพระวินัย จะพบใครก็มีแต่ดี
- จะรักษาพระศาสนา ต้องชูธรรมสู้หน้าเขา ไม่ใช่เอาแต่หลบหน้ารักษาตัว
- พ.อ. บรรจงจะตั้งพระธรรมปิฎกเข้าตำแหน่งในองค์กรศาสนา ด้วยเจตนาร้าย ก็จงใจปัดสหภูมิสงฆ์สุพรรณทิ้งไป
- นายทหารไทยไปเรียนเมืองฝรั่ง ว่าเขาเป็นลูกศิษย์คริสต์ จะใช่หรือ
- อย่าปล่อยให้กลุ่มพวก พ.อ. บรรจง เป็นเครื่องหมายความทุจริต อย่าปล่อยให้ชมรม(เถื่อน)สามเหล่าทัพ เป็นเครื่องหมายความอัปยศ
- ไทยรักษาธรรม เพื่อให้ธรรมรักษาไทย
จะรักษาพระศาสนา ต้องชูธรรมสู้หน้าเขา ไม่ใช่เอาแต่หลบหน้ารักษาตัว
จำไว้เลยว่า พระท่านจะไปไหนพบใคร ไม่เฉพาะคนดี แม้แต่คนที่เลวร้ายแค่ไหนก็ได้ ถ้าท่านอยู่กับธรรม ไม่ทำผิดวินัยและกฎหมาย และนำธรรมไปให้เขาได้ หรือดึงเขาเข้ามาหาธรรมได้ นั่นคือท่านทำหน้าที่ของพระ ที่จะต้องอนุโมทนา
จึงเป็นธรรมดาของพระ ที่ท่านจะรับนิมนต์ไปในงานทำบุญบ้าง งานพูดจาแสดงธรรมบ้าง ไปเทศน์ตั้งแต่งานศพคนดี จนถึงงานศพโจร หรืออย่างที่พระธรรมปิฎกเคยไปเทศน์ในคุก ซึ่งมีทั้งนักโทษคดีฆ่าคน โทษลักขโมย พระที่ไปเทศน์ก็ไม่ได้กลายเป็นคนลักขโมย หรือเป็นคนฆ่าคนไปด้วย
ย้อนไปยุคสามสิบกว่าปีก่อนโน้น ที่นายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง ยกขึ้นมาเป็นเค้าแต่งเรื่องทำร้ายใส่ความนั้น สมัยนั้นเป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อ มีความอ่อนไหวมาก มีคนรุ่นใหม่ที่หัวคิดแปลกๆ เรายังรู้ไม่ได้ว่าสังคมจะไปทางไหนแน่ แต่เราจะต้องรักษาพระศาสนา ให้คนมีความเห็นความเข้าใจที่ถูกต้อง พระต้องไม่หลบไม่ถอย
ก็เหมือนสมัยนี้แหละ มีพวกทำอะไรวิปริต เราต้องชี้แจง เราไม่ได้ทำร้ายเขา เมื่อเขามีการพูดกัน มีนักเรียน นักศึกษา คนหัวใหม่ ไม่ว่าจะเป็นขวาหรือซ้าย เราต้องพบทั้งนั้น แต่เราเอาธรรมไป เขาจะพูดอะไรมา เราก็ชี้แจงในแง่ธรรม
สมัยนั้น บางทีนักศึกษามากันเป็นกลุ่มไปถึงกุฏิ บอกว่าไปตั้งค่ายอยู่กันที่ต่างจังหวัด เห็นวัด มีเสนาสนะ กุฏิใหญ่โต แต่บ้านเรือนของชาวบ้านเล็กๆ โทรมๆ ทำไมเป็นอย่างนั้น เขาว่าพระเอาเปรียบชาวบ้าน หรืออะไรทำนองนี้
เราก็ต้องชี้แจงให้เขาฟัง บอกว่า คุณต้องทำความเข้าใจเรียนรู้ไว้ วัดนั้นเป็นสมบัติของกลางของชุมชน ไม่ใช่ของพระองค์ใดองค์หนึ่ง ในชุมชนที่สืบมาตามประเพณีวัฒนธรรมของไทยเรา ไม่ว่าคนยากคนจน หรือคนมี ไม่ว่าบ้านอยู่กระต๊อบ หรือบ้านเศรษฐี บวชแล้วก็ไปอยู่ที่วัดเหมือนกันหมด วัดเป็นของกลาง เป็นที่ศึกษาเล่าเรียน
ชาวบ้านเขาถือว่าวัดเป็นสมบัติส่วนรวม กุฏิสงฆ์นั้นก็บอกอยู่แล้วคือของสงฆ์ส่วนรวม เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ชาวบ้านจึงสร้างให้ดีที่สุด และเป็นที่เชิดหน้าชูตาชุมชนของเขาด้วย
ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า เราจะต้องสืบต่อลักษณะที่ดีนี้ไว้ คือให้วัดเป็นสมบัติร่วมกันของชุมชน และให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน เป็นที่เจริญไตรสิกขากันให้จริงจัง และให้การศึกษาแก่ประชาชน ขอให้สร้างกันขึ้นมาด้วยความรู้ความเข้าใจ มีสำนึกที่ถูกต้อง และใช้ประโยชน์ให้ถูกต้อง
สมัยนั้นต้องชี้แจงให้กับพวกคนหัวใหม่ๆ อย่างนี้ เยอะแยะ บางทีเขานิมนต์ไปพูด มีนักศึกษาหัวซ้ายพูด ก็พูดกับเขา จะว่าโต้หรือว่าชี้แจงทำความเข้าใจก็ได้ ไม่ใช่ว่าถ้าพระไปพูดกับคนหัวซ้ายแล้ว มองแบบนายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง เอาพระเป็นคนหัวซ้ายไปด้วย และเที่ยวแอบแฝงว่าร้าย ไม่กล้ามาสู้หน้า
ที่จริง คงไม่ใช่ว่านายทหารกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง นี้จะไม่เข้าใจ แต่เป็นเพราะเขามุ่งจะทำร้ายใส่ความจึงจงใจทำเท็จทุจริต พูดได้ว่าเขาเจตนาทำทุจริตอย่างนี้ทุกเรื่อง
เอาง่ายๆ อย่างเรื่องมูลนิธิโกมลคีมทองที่กลุ่มพวก พ.อ. บรรจง นี้ชอบพูดถึง เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจปิดบังความจริง เวลาพูดถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธินี้ เขาจะยกมาแต่ชื่อของคนที่เขาเกลียดชัง หรือคนที่เขาจะพูดให้เสียหายได้ แต่ชื่อของบางท่านที่อ้างขึ้นมาแล้วคนจะไม่เห็นคล้อยตามที่เขาพูด เขาก็ปิดเสีย
มูลนิธิโกมลคีมทองนั้น มีศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นประธานกรรมการก่อตั้ง และเมื่อตั้งแล้ว ท่านก็เป็นที่ปรึกษาท่านที่ ๑ แต่ความจริงนี้ นายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง ไม่พูดถึงเลย
เอาเถิด มูลนิธิโกมลคีมทองจะเป็นอย่างไรก็ตาม เมื่อมูลนิธินั้นนิมนต์พระธรรมปิฎกไปไหน ท่านก็ไปในกิจที่เป็นเรื่องของพระหรือเรื่องของธรรมเท่านั้น เรื่องอื่นไม่ไปเกี่ยวข้องด้วย อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ จะเป็นประธาน ก็เป็นเรื่องของญาติโยมคฤหัสถ์ พระก็ไปตามเรื่องเทศน์เรื่องทำบุญ เรื่องที่จะทำหน้าที่ให้ธรรมสั่งสอนประชาชน ก็อย่างที่ว่าแล้ว จะเป็นโจรองคุลิมาล หรือเศรษฐีคหบดี หรือแม้พระราชามหากษัตริย์ พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนทั้งนั้น พระสงฆ์พุทธบุตรก็ดำเนินตามนั้น
No Comments
Comments are closed.