ยิ่งพูดเท็จไปๆ ก็ยิ่งกลายเป็นสารภาพกรรมทุจริตชัดยิ่งขึ้น

1 มกราคม 2545
เป็นตอนที่ 13 จาก 26 ตอนของ

ยิ่งพูดเท็จไปๆ ก็ยิ่งกลายเป็นสารภาพกรรมทุจริตชัดยิ่งขึ้น

เพื่อให้ชาวพุทธมีความรู้เท่าทันคนทุจริต อันจะเป็นประโยชน์ในการช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาต่อไป จะชี้วิธีสร้างความเท็จของนายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง ในเอกสาร เล่มใหม่ของพวกเขานี้ ให้เห็นตัวอย่างเพิ่มอีกหน่อย

เอกสารของนายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง นี้ เป็นความเท็จตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนกันกับหนังสือของ ดร. เบญจ์ บาระกุล ที่เขานำไปเผยแพร่

หนังสือของ ดร. เบญจ์ บาระกุล นั้น เท็จตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย ชื่อ เบญจ์ บาระกุล ก็เท็จ (ชื่อปลอม) ที่ว่าเป็น ดร. ก็เท็จ (ไม่เป็นจริง) ภาษาอังกฤษ ชื่อปริญญาที่อ้างว่าเรียนจบ ก็เขียนไม่ถูก ชื่อมหาวิทยาลัยที่ว่าเรียนมา ก็เขียนชื่อไม่ถูก เมืองที่มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ ก็เขียนไม่ถูก

“เอกสารประกอบการพิจารณา สำหรับคณะสงฆ์ เพื่อลงสังฆมติิ” ของกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง นี้ ตั้งแต่หน้าแรก พอเปิดขึ้นมา ก็เจอความเท็จทันที เขาบอกว่า “รายงานผลการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณี ข้าราชการในกองทัพถูกกล่าวหา” ซึ่งที่จริงไม่ใช่เป็นการสืบสวนสอบสวนอะไร แต่เป็นเรื่องที่เขาพูดเองเออเอง ผู้ที่อ่านโดยพิจารณาเล็กน้อยก็รู้ทัน และเห็นว่าเป็นการกระทำที่น่าขำปนสังเวช เพราะเมื่อเขาหมดทางไป ก็ทำเหมือนเด็กเล่น

พอถึงหน้าสุดท้าย เขาเขียนว่า “พระธรรมปิฎก (ผู้กล่าวหา) ยังคงร่วมปฏิบัติภารกิจร่วมกับองค์กรคริสตศาสนา…ซึ่งตามกฎหมายเดิม…เป็นความผิดมีโทษทางอาญา แต่หลังจากวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๔๔ กฎหมายได้ยกเลิก จึงเห็นได้ว่าพระธรรมปิฎก (ผู้กล่าวหา) ได้แจกจ่ายหนังสือดังกล่าวในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๔ เพื่อหลีกพ้นความผิด” (ที่จริงหนังสือออกวันประชุมมหาเถรสมาคมที่ ๒๙ มิ.ย. ๔๔)

คำพูดของเขาเองนี้ ก็เป็นการประจานความเท็จทุจริตของกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง อีก เพราะว่า นอกจากพระธรรมปิฎกไม่มีความผิดอะไรที่จะต้องหลีกหลบแล้ว กลับยิ่งเห็นชัดถึงการพูดเท็จซึ่งหน้าของกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง นั้น กล่าวคือ เรื่องชัดอยู่แล้วตามหนังสือ “ขอคำตอบจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดฯ” ว่า จดหมายของพระธรรมปิฎกถึง ผบ. ทหารสูงสุด ลงวันที่ 4 มกราคม ๒๕๔๔

ถ้ากลุ่มพวก พ.อ. บรรจง มีความซื่อสัตย์ และกล้าหาญ เขาจะต้องเขียนว่า พระธรรมปิฎกมีจดหมายถาม ผบ. ทหารสูงสุด ตั้งแต่วันที่ ๔ ม.ค. ๒๕๔๔ แต่รอจดหมายตอบเป็นทางการอยู่เกือบครึ่งปี ก็ยังไม่ได้รับ

ในที่สุดจึงไม่รอ ต้องออกหนังสือนั้นมาครั้งหนึ่งก่อน เพราะว่า พวก พ.อ. บรรจง ไชยลังกา นี้ไปเที่ยวจัดประชุมสร้างความเข้าใจผิดหลอกลวงพระสงฆ์ และประชาชนในต่างจังหวัดมากขึ้นๆ ไม่ควรช้าต่อไปอีก ควรให้ประชาชนรู้เท่าทัน

จึงได้มีหนังสือ “ขอคำตอบจาก ผบ.ทหารสูงสุดฯ” ออกมา โดยพิมพ์คำที่ทาง บก.ทหารสูงสุดชี้แจงด้วยวาจาก่อน

จนกระทั่งเมื่อได้รับจม.ตอบจากเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร บก. ทหารสูงสุด เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๔๔ แล้ว จึงนำจม. ตอบนั้นลงในหนังสือ “ขอคำตอบฯ” ที่พิมพ์ครั้งใหม่

แม้ว่าพระธรรมปิฎกจะไม่ถือสา แต่ถ้านายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง นี้มีความกล้าหาญ และเป็นคนจริง เขาจะต้องต่อว่า บก. ทหารสูงสุด ว่า ทำไมจึงตอบจดหมายของพระธรรมปิฎกล่าช้า

เขียนอย่างนี้จึงจะสอดคล้องกับความเป็นจริง ส่วนการอ้างกฎหมายหรืออ้างอะไรๆ ของนายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง นั้น ก็เป็นเพียงวิธีหาอะไรๆ มาจับโน่นชนนี้เพื่อแต่งเรื่องเท็จหลอกลวงไปเรื่อยๆ อย่างที่เขาทำมาเป็นประจำ

เมื่อเรารู้ทันแล้ว ยิ่งเขาแต่งเรื่องมากเท่าไร ความเท็จก็ยิ่งโผล่ และคนก็ยิ่งหมดความเชื่อถือ

นอกจากนี้ นายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง ยังเอาเรื่องนี้ไปโยงกับกรณีที่พระธรรมกิตติวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม ได้ออกจากตำแหน่ง เป็นทำนองว่า ผู้ที่ถูกพวกเขาใส่ร้ายจะอาศัยจังหวะนี้เข้าเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม

มส. ทราบดีว่าพระธรรมปิฎกอาพาธอยู่ จึงย่อมไม่ต้องกลัวว่ามหาเถรสมาคมจะมีพระธรรมปิฎกเข้าไปเป็นกรรมการ

แต่เจตนาหลอกลวงของนายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง นั้นเห็นได้ชัดตรงที่ว่า จดหมายของพระธรรมปิฎกที่ถาม ผบ. ทหารสูงสุด เกี่ยวกับตัว พ.อ. บรรจง เองนั้น เป็นเรื่องนานแล้ว (๔ ม.ค. ๒๕๔๔) ตั้งครึ่งปีก่อนกรณีพระธรรมกิตติวงศ์ นายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง จะเจตนาร้ายโยงเรื่องอย่างไรก็ไม่สำเร็จ

ท้ายสุด จะจบเล่มเอกสารของเขา นายทหารทุจริตกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง เขียนว่า “พระธรรมปิฎก(ผู้กล่าวหา) ขณะนี้เป็นพระภิกษุ มีมวลชนศรัทธามาก หากกองทัพดำเนินการจะส่งผลเสียด้านจิตวิทยา ควรส่งรายละเอียดหลักฐานไปยัง พระมหาเถระผู้ปกครองคณะสงฆ์ เพื่อให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นการภายใน…”

แล้วต่อท้ายข้อความนี้ เขาก็ทำแบบฟอร์มให้พระกรอกส่งไปยังมหาเถรสมาคมที่ตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งกลายเป็นการหลอกลวงให้พระสงฆ์หลายรูปที่หลงเชื่อทำตามเขา กลายเป็นผู้ทำผิดกฎหมายและพระธรรมวินัย ที่นักกฎหมายรอตั้งเรื่องทำคดีอยู่ ดังที่พูดแล้วข้างต้น

ความจริงนั้น ถ้ากองทัพไทยสอบสวนดำเนินการเรื่องนี้ จะไม่มีผลเสียใดๆ เลย ไม่ว่าด้านจิตวิทยาหรือด้านไหนๆ มีแต่ผลดีอย่างเดียว เริ่มตั้งแต่ว่ากองทัพจะได้แสดงให้ปรากฏออกมา ทั้งความจริงของเรื่องราว และความจริงใจของกองทัพเอง

ส่วนพระมหาเถระผู้ปกครองคณะสงฆ์ หรือมหาเถรสมาคมนั้น ก็ชัดอยู่แล้วว่า ทั้งพระธรรมปิฎกก็ปวารณาตัวให้ตรวจสอบแล้ว และมหาเถรสมาคมท่านก็ไม่รับรู้ความเห็นของพระ ๒๙ รูปที่ถูกกลุ่มพวก พ.อ. บรรจง หลอกให้เขียนส่งไป

ลงท้าย เรื่องทั้งหมดสรุปลงแล้ว ก็รวมกันเข้าเป็นการประกาศ/สารภาพการทำการเท็จทุจริต ของคน/นายทหารทุจริตกลุ่มพวก ดร.เบญจ์-พ.อ. บรรจง นี้เท่านั้นเอง

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< ตัวอย่างการทุจริต ที่ผู้ก่อกรรมต้องสารภาพออกมาเองรบนอกแบบ คือใช้วิธีทุจริตทำร้ายท่าน และทำลายเกียรติของตัว >>

No Comments

Comments are closed.