ถึงเวลาชาวพุทธต้องเตือนกันให้รู้เท่าทันคนบาปร้าย จึงจะรักษาพระพุทธศาสนาให้ยืนยงคงอยู่ได้

1 มกราคม 2545
เป็นตอนที่ 4 จาก 26 ตอนของ

ถึงเวลาชาวพุทธต้องเตือนกันให้รู้เท่าทันคนบาปร้าย
จึงจะรักษาพระพุทธศาสนาให้ยืนยงคงอยู่ได้

ขอทำความเข้าใจกันไว้ก่อนว่าหนังสือ “อนุสติกถา” เล่มนี้เขียนและพิมพ์ขึ้นมา

ก) ไม่ใช่เป็นการตอบโต้ เพราะการที่นายทหารทุจริตกลุ่ม พ.อ. บรรจง ไชยลังกา ปั้นแต่งเรื่องเท็จใส่ร้ายต่างๆ นั้น ก็เป็นบาปกรรมของพวกเขาเอง การที่พวกเขาหลอกลวงต่างๆ ก็เป็นเรื่องเลื่อนลอยที่พวกเขาคิดขึ้นและจับเรื่องมาต่อเติมเอาเอง พระธรรมปิฎกก็อยู่ตามปกติธรรมดา ไม่พลอยเป็นอะไรไปด้วย ใครสนใจตรวจสอบความจริงเมื่อใด ก็เห็นความเท็จที่เป็นเรื่องของพวกเขา และแยกความจริงออกไปได้เมื่อนั้น เราจึงไม่ต้องไปตอบโต้อะไร

ข) ไม่ใช่เป็นการชี้แจง เพราะพระธรรมปิฎกไม่ได้ทำเรื่องเสียหายหรือทำอะไรที่น่าสงสัยอย่างที่พวกเขาผูกเรื่องขึ้นมา ที่จะต้องชี้แจง การปั้นแต่งเรื่องเท็จของคนทุจริตที่ไม่ละอายนั้นเขาย่อมทำได้เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด เราต้องไม่มัวไปตามชี้แจง แต่เราจะต้องชี้วิธีเท็จทุจริตของเขาให้คนรู้ทัน

อนึ่ง การที่จะนิ่งเฉยอยู่ก็ไม่ถูกต้อง จะกลายเป็นการปลูกฝังท่าทีหรือทัศนคติที่ผิดขึ้นในหมู่ชาวพุทธ เพราะเป็นการไม่ปฏิบัติด้วยปัญญาตามควรแก่เหตุ หรือไม่เป็นการปฏิบัติไปตามวิสัยแห่งเหตุผล (ไม่เป็นการณวสิก) แต่จะกลายเป็นการเฉยโง่ ที่เรียกว่าอัญญาณุเบกขา หรือเป็นการปล่อยปละละเลยตกอยู่ในความประมาท

การปฏิบัติที่ถูกต้องในเรื่องนี้ คือการไม่ทำเพียงตามความรู้สึกที่พูดอย่างชาวบ้านว่าทำด้วยอารมณ์ แต่ทำเพื่อจุดหมายที่เป็นกุศล อย่างน้อยให้ได้ประโยชน์หรือความดีจากเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นนี้ โดยเฉพาะประโยชน์ทางธรรมทางปัญญา กล่าวคือ

๑. ใช้สถานการณ์เป็นโอกาสที่จะให้ธรรมและความรู้เท่าทัน เมื่อมีคนร้ายทำการทุจริตหลอกลวงขึ้น ต้องให้พระสงฆ์และชาวบ้านเข้าใจ ให้เกิดความรู้เท่าทัน ทั้งต่อคนและต่อเรื่องราวสถานการณ์ เพื่อจะได้ปฏิบัติต่อคนและต่อเรื่องราวสถานการณ์นั้นได้ถูกต้อง และสามารถรักษาตัว รักษาพระศาสนา รักษาสังคม ไว้ให้คงอยู่ดี หรือให้ผ่านเหตุการณ์ไปได้ด้วยดี พร้อมทั้งได้เพิ่มพูนความรู้ไว้เป็นทุนที่จะเผชิญกับสถานการณ์ข้างหน้า

พร้อมกันนั้น ไม่ว่าเรื่องร้ายก็ตามเรื่องดีก็ตามเกิดขึ้น เมื่อมีธรรม มีหลัก ตลอดจนความรู้อะไรที่เกี่ยวข้อง อันจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน เช่นความรู้เกี่ยวกับพระธรรมวินัย ก็ต้องถือเป็นโอกาสที่จะบอกกล่าวแนะนำไปด้วย

๒. ใช้ปัญหาเป็นสนามฝึกปรือปัญญา ปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นบททดสอบชาวพุทธ/ชาวบ้านของเรา หรือประชาชนทั่วไป ว่ามีทุนความรู้ มีวิจารณญาณ หรือความสามารถที่จะคิดพิจารณาวินิจฉัยเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือไม่ พูดง่ายๆ ว่า ชาวพุทธ/คนไทยนี้ มีกำลังความพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ แค่ไหน

ต่อจากนั้น ไม่ว่าจะมีทุนมีกำลัง(ทางปัญญาความคิด)น้อยหรือมากแค่ไหน ก็ต้องเอาปัญหาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นเครื่องฝึกตนยิ่งขึ้นไป ทั้งในการรู้จักแสวงหาความรู้ การรู้จักคิดพิจารณา และการรู้จักตรวจสอบวินิจฉัย เป็นต้น

โดยเฉพาะปัจจุบันนี้รู้กันว่าเป็นยุคโลกาภิวัตน์ ที่มีข่าวสารข้อมูลเป็นใหญ่ หลักมีอยู่ว่า จะต้องรู้จักเอาข่าวสารข้อมูลมาสร้างปัญญาและใช้แก้ปัญหาทำการสร้างสรรค์

แต่ความจริงก็มีอยู่ว่า คนดีก็ใช้ข้อมูลข่าวสาร เช่นใช้เผยแพร่ความดีงามและสิ่งที่เป็นประโยชน์ คนชั่วก็ใช้ข้อมูลข่าวสาร เช่นใช้เผยแพร่ความเท็จทำลายผู้อื่นและหลอกลวงหาผลประโยชน์

พระพุทธศาสนา ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งปัญญา คนที่ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ จึงควรจะได้ประโยชน์จากข่าวสารข้อมูล และรู้จักใช้มันให้ดีที่สุด ในการที่จะสร้างสรรค์และที่จะดำเนินวิถีชีวิตแห่งปัญญา จึงต้องเริ่มด้วยการตั้งคำถามว่า ชาวพุทธเรารับมือกับกรณีนายทหารทุจริตที่เกิดขึ้นคราวนี้อย่างมีปัญญาที่ถึงและทันเพียงไร

เฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีนี้ การที่กลุ่มพวก ดร. เบญจ์-พ.อ. บรรจง ปั้นแต่งเรื่องเท็จใส่ร้ายป้ายสีพระธรรมปิฎกนั้น เห็นได้ไม่ยากว่า เป้าหมายที่แท้ของพวกเขามิใช่อยู่แค่จะทำลายพระธรรมปิฎก

ทำไมเขาจึงต้องยอมลงทุนทำการร้ายนี้เป็นเงินมากมายมหาศาล คิดเป็นกี่ล้าน กี่สิบล้าน หรืออาจเป็นร้อยล้าน ลองนับชื่อหนังสือ หลายชื่อหลายเรื่อง ทั้งเล่มเต็ม เล่มย่อ จำนวนพิมพ์แต่ละเล่ม แต่ละครั้ง ม้วนเทป CD-ROM และสื่ออื่นๆ ที่เขาทำแล้วจัดส่งไปทั่วประเทศไทยและในต่างประเทศ กับทั้งเที่ยวนำไปจัดประชุมเผยแพร่ในจังหวัดต่างๆ ตลอดเวลาสองสามปี ไปคำนวณดูเอาว่าจะใช้เงินสักเท่าไร

งานของเขา-แผนการใหญ่นี้ มองเห็นข้างนอก เหมือนว่าจะล้มเพียงตัวบุคคล คือพระธรรมปิฎก แต่เป้าหมายที่แท้ เมื่อทำลายด่านหน้าได้แล้ว เลยต่อออกไปก็จะถึงหลักใหญ่ตัวจริง ที่เขาจะทำให้สับสนสั่นคลอน เลือนลางหรือลับหายไป เป้าหมายแท้ที่ว่านั้น ก็คือพระพุทธศาสนาเถรวาทที่เป็นหลักของไทยเรานั่นเอง

ตอนก่อนหน้า/ตอนต่อไป<< การสารภาพกรรมทุจริต ของ พ.อ. บรรจง ไชยลังกา กับพวกชาวพุทธควรใส่ใจเรียนรู้พระพุทธศาสนากันไว้ มิฉะนั้นคนทุจริตจะทำร้ายพระพุทธศาสนากันไปเรื่อยๆ >>

No Comments

Comments are closed.