- บันทึกของผู้เรียบเรียง (ในการพิมพ์ครั้งที่ ๓)
- (กล่าวนำ)
- ภาค ๑ พุทธทัศน์ต่อความต่างศาสนาและสันติภาพโลก
- ท่าทีทั่วไปของพุทธศาสนาต่อลัทธิศาสนาอื่น
- ท่าทีที่พุทธศาสนาให้ทุกคนมีต่อทุกศาสนา รวมทั้งต่อพุทธศาสนาเองด้วย
- ท่าทีของพุทธศาสนาต่อความจริงหรือต่อสัจธรรม
- ท่าทีของพุทธศาสนาตามหลักการที่เป็นสากล
- รูปแบบของพุทธศาสนา สื่อถึงหลักการแห่งธรรมชาติของมนุษย์
- จากหลักการแห่งธรรมชาติของมนุษย์ โยงไปสู่ท่าทีแห่งการแสดงบทบาทในสังคม
- จากหลักการแห่งการศึกษา โยงไปสู่ท่าทีในการเผยแผ่พุทธศาสนา
- แบบอย่างแห่งการให้เสรีภาพทางศาสนาระดับรัฐ
- ปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติ ที่ท้าทายต่อหลักการของประชาธิปไตย
- ภาวะไม่มั่นคงของหลักการแห่งประชาธิปไตย บ่อนทำลายอารยธรรมปัจจุบันแม้แต่ในประเทศผู้นำ
- ท่าทีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยเมตตา และท่าทีต่อสัจธรรมด้วยปัญญา
- ตัวอย่างที่แสดงท่าทีต่อสัจธรรมด้วยปัญญา และท่าทีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยเมตตา
- ท่าทีอหิงสาที่สืบมาในศาสนาของอินเดีย
- ทำไมความต่างศรัทธา จึงขยายเป็นสงครามศาสนา
- ถึงโลกจะพัฒนา แต่มนุษย์ยังล้าหลังไกลในวิถีทางแห่งสันติภาพ
- ภูมิหลังที่ต่างกันแห่ง ๒ วิธี ในการดำเนินวิถีแห่งสันติภาพ
- ภาค ๒ ภูมิหลังอารยธรรมโลกาภิวัตน์
- สมัยกลางของยุโรป ฝรั่งเรียกว่ายุคมืด เพราะศาสนาคริสต์ครอบงำ ทำให้แสงแห่งปัญญาดับหาย
- พอเปิดขุมปัญญาของกรีกโบราณกลับขึ้นมาได้ ฝรั่งดีใจ เรียกว่าเป็นยุคที่ได้เกิดใหม่
- พอชาวบ้านฟื้นคืนชีพขึ้นมา ศาสนาคริสต์ก็ถึงวาระแห่งการปฏิรูป
- ตะวันตกตื่นตัวทางปัญญา หันออกจากคริสต์ศาสนา สู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
- ถึงจะผ่อนอิทธิพลครอบงำทางปัญญา ฝรั่งยังต้องดิ้นหนีภัยอำนาจการเมืองของคริสต์ศาสนา
- ปฏิกริยาของสังคมตะวันตกต่ออำนาจครอบงำของศาสนาคริสต์ ผลกระทบจากการปฏิรูปศาสนาคริสต์ต่อสังคมตะวันตก
- ๒. ศาสนากับการล่าอาณานิคม
- ทัพมุสลิมทะลวงตะวันตก ทะลุตะวันออก
- ลัทธิอาณานิคมของประเทศตะวันตก เผยแพร่ศาสนา พร้อมกับหาเมืองขึ้น
- การเมือง-การค้า-แผ่ศาสนา-หาอาณานิคม ผลกระทบต่อญี่ปุ่น
- ระบบอาณานิคม – จักรวรรดินิยม ป้ายชื่อปลดไป เนื้อในยังอยู่?
- ๓. โลกทัศน์ที่นำสู่โลกาภิวัตน์
- วิทยาศาสตร์ – อุตสาหกรรม มาตรฐานวัดความเจริญก้าวหน้าของโลกยุคใหม่
- บุกฝ่าพรมแดน ๓๐๐ ปี จึงได้ครอบครองโลกใหม่ อารยธรรมอเมริกันได้อะไรจากประสบการณ์ผจญภัย
- ผ่านภูมิหลังแห่งแนวคิดความเชื่อและความใฝ่ฝัน สู่ความยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดินิยมอเมริกัน
- ย้ายจากความขัดแย้งทางลัทธินิกายศาสนา สู่ความขัดแย้งผลประโยชน์ ลัทธิอาณานิคมนำโลกสู่สงครามใหญ่ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าโลกใหม่
- การแข่งอำนาจ แย่งชิงผลประโยชน์และความยิ่งใหญ่ ทำให้โลกแทบถล่มทลาย ลัทธิอาณานิคมเองก็ล่มสลาย เกิดระบบอำนาจใหม่
- ความขัดแย้งผลประโยชน์และความยิ่งใหญ่ กลับมาประสานกับความขัดแย้งทางลัทธินิยมอุดมการณ์
- หลังเวทีแข่งขัน ของมหาอำนาจ ๒ ค่ายอุดมการณ์ ระบบอุตสาหกรรมกำหนดสถานะความสัมพันธ์ในโลก
- เมื่อโลกมีมหาอำนาจอุดมการณ์สองค่าย ความกลัวช่วยยั้งสงครามใหญ่ พอโลกเลิกแยกสองค่าย สงครามย่อยทางผิวเผ่าศาสนาก็ปะทุไปทั่ว
- ๔. อุตสาหกรรมหนุนเศรษฐกิจการเมืองสู่ยุคการค้าเสรี
- เมื่อยุคอุตสาหกรรมเริ่มต้น คนตะวันตกตื่นตัวมีชีวิตชีวาด้วยความหวังใหม่
- เมื่อวิทยาศาสตร์มาหนุนอุตสาหกรรม พร้อมระบบแบ่งงาน-ชำนาญพิเศษ อเมริกาก็ก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าใหญ่แห่งอุตสาหกรรม
- ญี่ปุ่นผงาด ตามด้วยขบวนเสือแห่งเอเชียก้าวเด่นขึ้นมา แต่ไม่ทันช้า ทั้งหมดก็พากันซบเซา
- อเมริกาพาโลกก้าว เข้าสู่ยุคการค้าเสรี
- ครึ่งศตวรรษ แห่งการวิวัฒน์สู่การค้าเสรี
- เหนือกว่า NAFTA เขตการค้าเสรีที่ใหญ่สุดของโลกจะเกิดขึ้นมาจากเอเปค/APEC
- ค้าขายเสรี แข่งขันเสรี บนสถานะของเศรษฐีกับวณิพก
- ภาค ๓ ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยเมตตา ต่อสัจธรรมด้วยปัญญา
- ภาพลักษณ์ของพุทธศาสนา ในภูมิหลังแห่งการเบียดเบียนบีฑาทางศาสนา
- ประวัติศาสตร์สรุปว่า ชาวพุทธถูกห้ำหั่นบีฑา แต่ไม่มีสงครามศาสนากับชาวพุทธ
- ไม่มีการขัดแย้งโดยใช้กำลัง ระหว่างต่างนิกายในพุทธศาสนา
- อิทธิพลของหลักศาสนาต่อบทบาทของรัฐ ในการส่งเสริมหรือกำจัดเสรีภาพทางศาสนา
- ในประเพณีพุทธ การคุ้มครองศาสนา คือให้ปฏิบัติการที่ตรงไปตรงมา ว่าตนนับถืออย่างไร
- น่าชมฝรั่งดี ที่มีความใฝ่รู้ ทำให้พบเรื่องพระเจ้าอโศก น่าเห็นใจฝรั่ง ที่ไม่มีพื้นฐาน ต้องใช้เวลานานจึงเข้าใจอโศก
- ดีที่ตนมี ที่ชาวพุทธไทยจะให้แก่โลกได้
- บทสรุป
- ภาคผนวก: ถาม-ตอบ
๓. โลกทัศน์ที่นำสู่โลกาภิวัตน์
วิทยาศาสตร์ก้าวขึ้นมานำหน้า
สู่โลกทัศน์ใหม่ ที่ศาสนาหันมาแอบอิง
ขอย้อนกลับไปสู่ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่กระแสนิยมวิทยาศาสตร์กำลังขึ้นสูง สืบเนื่องเรื่อยมาตั้งแต่ยุคคืนชีพ
ครั้นเมื่อเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ขึ้นแล้ว เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มากับยุคอุตสาหกรรม ได้ทำให้ผู้คนมีชีวิตที่พรั่งพร้อมสะดวกสบาย และมีอำนาจจัดการกับสิ่งแวดล้อมอย่างมากมาย รวมทั้งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบอาณานิคม อย่างที่กล่าวแล้ว
แต่มิใช่แค่นั้น การมองเห็นความหวังที่จะนำเอาความรู้วิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการสร้างความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม ได้ทำให้ประชาชนทั่วไปเพิ่มความสนใจใฝ่นิยมวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้นไปอีก
ความนิยมและตื่นตัวทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้นนี้ ทำให้คริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้ชื่อว่าเป็นยุคพุทธิปัญญา (Enlightenment) หรือยุคแห่งเหตุผล (Age of Reason) และพร้อมกันนั้น คนทั้งหลายก็พากันคิดว่าวิทยาศาสตร์นั้นจะนำพามนุษย์ไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และจะเป็นความก้าวหน้าที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นับแต่นั้นมา คติแห่งความก้าวหน้า (idea of progress) หรือคติแห่งความก้าวหน้าที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ (idea of inevitable progress) ก็เด่นขึ้นมา จนกลายเป็นแนวคิดนำที่ครอบงำอยู่เหนือกระแสการพัฒนาอารยธรรมตะวันตกเรื่อยมา จนถึงยุคปัจจุบัน โดยมีแนวคิดที่มุ่งพิชิตธรรมชาติ (conquest of nature หรือ dominion over nature หรือ mastery of/over nature) แฝงหนุนเป็นคู่แฝดกันมาโดยตลอด
ในวงวิชาการ กระแสนิยมวิทยาศาสตร์ได้ทำให้วิชาการต่างๆ พยายามปรับตัวให้ได้รับความเชื่อถือ โดยนำเอาวิธีวิทยาศาสตร์ (scientific method) เข้าไปใช้ และในศตวรรษที่ 18 นี้เอง วิชาสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะเศรษฐศาสตร์และสังคมวิทยา ก็ได้เริ่มถือกำเนิดขึ้น
ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ได้ก่อให้เกิดผลสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ทำให้มนุษย์ชาวตะวันตกมองโลกและชีวิตหรือมองสิ่งทั้งหลายด้วยความเข้าใจอย่างใหม่ โดยมีโลกทัศน์แบบจักรกล (mechanistic view)
โลกทัศน์แบบจักรกลนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 จากอิทธิพลความคิดของเดคาร์ตส์ (Descartes, 1596-1650) และปรับแก้ใหม่ตามแนวคิดของนิวตัน (Newton, 1642-1727)
นิวตันนี้ได้เป็นต้นสายความคิดแบบแบ่งซอยหรือแยกส่วน ที่เรียกว่า reductionist view หรือเรียกสั้นๆ ว่า reductionism ด้วย
โลกทัศน์วิทยาศาสตร์แบบจักรกล และแนวคิดแยกส่วนนี้ มองโลกหรือสิ่งทั้งหลาย ตลอดจนแม้แต่ชีวิตจิตใจมนุษย์ ในเชิงวัตถุ และแบบคณิตศาสตร์ โดยเห็นว่า สิ่งทั้งหลายและความเป็นไปหรือปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดจากองค์ประกอบ หรือชิ้นส่วนทางวัตถุเล็กน้อยย่อยลงไปๆ เข้ามาสัมพันธ์กันอย่างมีกฎเกณฑ์ในเชิงเหตุผลอย่างเป็นระเบียบ
โลกทัศน์แบบจักรกล และแนวคิดแยกส่วนนี้ ได้เป็นสายความคิดหลักที่ครอบงำอารยธรรมตะวันตก และแผ่ไปครอบงำโลกมายาวนานเกือบ ๓๐๐ ปี
ในยุคพุทธิปัญญา (Enlightenment) แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 18 นี้ ความขัดแย้งและเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาคริสต์ได้ผ่อนเบาลงบ้าง เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญ โดยเฉพาะนิวตันเป็นคนมีศรัทธาในศาสนาคริสต์ และได้อธิบายความคิดทางวิทยาศาสตร์ของเขา ในเชิงประสานสังเคราะห์ โดยแสดงความจริงทางวิทยาศาสตร์ ชนิดที่เปิดช่องให้องค์พระเป็นเจ้าสามารถมีบทบาทได้ (“…a new synthesis in which truth is revealed and God was preserved.”- “The History of Science,” Britannica, 1997)
ภาวการณ์นี้ มีผู้เรียกว่าเป็นการพักรบกับฝ่ายศาสนา (a truce with men of religion – “European History and Culture,” Britannica, 1997)
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายศาสนาคริสต์ก็มิได้พอใจจริง เพราะเมื่อว่าโดยสาระ แนวคิดวิทยาศาสตร์นี้ก็นำไปสู่วัตถุนิยมและลัทธิอเทวนิยม ความขัดแย้งจึงดำเนินต่อมา
โดยเฉพาะเมื่อ ดาร์วิน (Charles Darwin) ประกาศทฤษฎีวิวัฒนาการ (Theory of Evolution) ใน ค.ศ.1858 ได้ก่อความกระทบกระเทือนแก่ศาสนาคริสต์เป็นอย่างยิ่ง
วิทยาศาสตร์ได้เจริญก้าวหน้าแตกสาขาออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการที่ศาสนาคริสต์เสื่อมอิทธิพลลงโดยทั่วไป
เมื่อถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 นีทเช่ นักปรัชญาชาวเยอรมัน (Friedrich Nietzsche, 1844-1900) ก็ได้ประกาศว่า “พระเจ้าตายแล้ว” (“God is dead.”- เช่นคำ “Philosophical Anthropology” และ “Friedrich Nietzsche,” Britannica, 1997)
ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ความขัดแย้งระหว่างศาสนาคริสต์กับวิทยาศาสตร์ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (เช่น “Religion,” Infopedia, 1994) และเนื่องจากวิทยาศาสตร์กำลังเฟื่องฟูก้าวหน้ามาก ผู้คนก็ยิ่งเหินห่างออกไปจากศาสนาคริสต์ จนในประเทศตะวันตกเอง ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลเหลือน้อยอย่างยิ่ง และไม่ได้รับความสนใจ
ต่อมาเหตุการณ์ได้กลับกลายเป็นว่า วงการศาสนาคริสต์ได้หันมาตีความคำสอนของตนให้เข้ากับวิทยาศาสตร์ หรือปรับความหมายให้สอดคล้องกับศาสตร์สมัยใหม่ (เช่น หนุนแนวคิดพิชิตธรรมชาติ และแนวคิดดาร์วินเชิงสังคม เป็นต้น) ตลอดจนนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้และไปอ้างในการดำเนินงานเผยแผ่ศาสนาคริสต์ (เช่น การอ้างเรื่องสุริยคราสในภาคเหนือของประเทศไทย และการใช้ความรู้และเครื่องมือทางแพทย์สมัยใหม่มารักษาคนเจ็บไข้ในประเทศที่ล้าหลังเป็นต้น)
นักเผยแพร่ศาสนาคริสต์ประสานตัวเข้ากับแนวทางของยุคใหม่ แม้กระทั่งอาศัยแหล่งทุนจากประเทศของตนซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมที่ร่ำรวยกว่า มาให้ความช่วยเหลือทางด้านทรัพย์สินเงินทองและความเป็นอยู่แก่ชาวบ้าน โดยเฉพาะคนที่ยากจน เป็นเครื่องชักจูงให้หันไปนับถือศาสนาคริสต์ จนเป็นที่น่าสงสัยว่า คนหันไปยอมรับนับถือเพราะเลื่อมใสเครื่องมือเครื่องใช้ทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ตลอดจนผลประโยชน์ มากกว่าจะเลื่อมใสคำสอนของศาสนา
(การใช้ผลประโยชน์หรืออามิสเป็นเครื่องจูงใจให้คนหันมานับถือศาสนานี้ ตามหลักการถือว่าไม่ชอบธรรม และในบางประเทศถือว่าเป็นความผิดด้วย)
No Comments
Comments are closed.